หน่วยที่ 2
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 1. ความสามารถของผู้เยาว์
1.1 ผู้เยาว์ หมายถึง บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ความเป็นผู้เยาว์จะเริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งบรรลุนิติภาวะ เมื่อมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือ จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
1.2 การพ้นจากภาวะความเป็นผู้เยาว์ มี 2 กรณี คือ
( 1 ) เมื่อมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
( 2 ) เมื่อจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย โดยทั้งชายและหญิงมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์และได้รับความยินยอมาจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองให้ทำการสมรสได้
1.3 ผู้แทนโดยชอบธรรม คือ บุคคลที่มีอำนาจทำนิติกรรมต่างๆ แทนผู้เยาว์ หรือมีอำนาจให้ความยินยอมให้การทำนิติกรรมของผู้เยาว์ โดยทั่วไปจะเป็นบิดามารดา
1.4 สิทธิของผู้เยาว์ในการทำนิติกรรม มี 2 ลักษณะ คือ
( 1 ) การทำนิติกรรมที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้เยาว์ทำได้ตามลำพัง เช่น ผู้เยาว์ที่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ สามารถทำพินัยกรรมและจำนำสิ่งของในโรงรับจำนำได้
( 2 ) การทำนิติกรรมที่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม เช่น การทำสัญญาซื้อขายที่ดิน ทำสัญญาซื้อรถยนต์ ทำสัญญากู้เงิน การโอนทรัพย์สิน ฯลฯ
2. การกู้ยืมเงิน
2.1 การกู้ยืมเงินเกิน 50 บาทขึ้นไป ต้องทำหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นลายลักษณ์อักษร และลงลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเงินไว้จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ หรือทำสัญญากู้เงินตามแบบฟอร์มก็ได้
2.2 การชำระหนี้เงินกู้ ต้องทำหนังสือเป็นหลักฐานโดยมีข้อความว่าเจ้าหนี้ ( ผู้ให้กู้ ) ได้รับเงินชำระหนี้เงินกู้จากลูกหนี้ ( ผู้กู้ ) ตามจำนวนที่กู้ ( พร้อมทั้งดอกเบี้ย ) เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งลงลายมือชื่อของทั้งสองฝ่าย หรืออาจใช้วิธีเวนคืนเอกสารสัญญากู้เงินหรือหลักฐานการกู้เงินให้แก่ผู้กู้ก็ได้
2.3 การคิดอัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเงิน ตามกฎหมายให้คิดได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่านี้จะมีผลให้ดอกเบี้ยเป็นโมฆะทั้งหมด ผู้ให้กู้ไม่ได้รับดอกเบี้ยแต่จะได้คืนเฉพาะเงินต้นเท่านั้น
3. ซื้อขาย
3.1 ทรัพย์สินที่ซื้อขายกันได้ มี 2 ประเภท ดังนี้
( 1 ) อสังหาริมทรัพย์ คือ ที่ดินและทรัพย์ที่อยู่ติดกับที่ดินอย่างถาวร เช่น บ้านเรือน โรงงาน ต้นไม้ยืมต้น และสิทธิจำนอง เป็นต้น
( 2 ) สังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์สินที่เคลื่อนที่ได้ เช่น เก้าอี้ แหวนและสร้อยคอทองคำ โทรทัศน์ รถยนต์ ช้าง ม้า และสิทธิในการจำนำ เป็นต้น
3.2 การทำสัญญาซื้อขาย การซื้อขายทรัพย์ต่อไปนี้ จะต้องทำเป็นหนังสือซื้อขายและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ หมายถึงเสียเปล่าไม่เกิดผลใดๆ ได้แก่
( 1 ) การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือกลไฟ เรือกำปั่น เรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัย และสัตว์พาหนะ ฯลฯ
4. เช่าทรัพย์
4.1 เช่าสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาการเช่า เช่น เช่าเรือกำปั่น เรือกลไฟ และเรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป ฯลฯ
4.2 เช่าอสังหาริมทรัพย์ ต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาการเช่า เช่น เช่าบ้าน ที่ดิน ฯลฯ แต่ถ้าเช่าเกินกว่า 3 ปีขึ้นไป จะต้องไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานอีกด้วย มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
5. เช่าซื้อ
5.1 ลักษณะของการเช่าซื้อ เป็นสัญญาที่เจ้าของนำทรัพย์สินของตนออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เข้า หลังจากที่ผู้เช้าได้จ่ายเงินครบตามข้อตกลงแล้ว ( จะผ่อนชำระเป็นงวดๆ ภายในเวลาที่กำหนด )
5.2 ทรัพย์สินทุกประเภทเช่าซื้อได้ เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ โทรทัศน์ ฯลฯ
5.3 การเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ จะต้องทำเป็นหนังสือสัญญา มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ และเมื่อผ่อนชำระจนครบแล้ว กรรมสิทธิ์จะโอนไปยังผู้เช่าซื้อได้ต้องไปจดทะเบียนการโอนต่อเจ้าพนักงาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)